ชมรมคนรักวังฯ
หลังจากเสร็จงานวันอนุรักษ์โบราณสถานพระราชวังพญาไท ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๕ มกราคม ๒๕๔๐ ที่ชื่อว่า “ชิมไวน์ ชมวัง ฟัง BSO” พลตรี นายแพทย์ ฉัตรชัย ทัศนียานนท์ ได้มาปรึกษากับผมว่า พลโท สุปรีชา โมกขะเวส ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า อยากจะให้พวกเราที่ร่วมกันทำงานที่สำเร็จสิ้นไปแล้วนั้น และท่านเหล่านี้ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดทูนในพระบารมีของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ และสถาบันที่เคารพอย่างสูงสุดของพวกเรา และหวังว่าจะช่วยกันจรรโลง อนุรักษ์ พระราชวัง โบราณสถาน สิ่งแวดล้อมสำคัญที่เป็นมรดกของชาติให้ยืนยาวชั่วลูกหลาน รวมกันเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ( NGO – Non Governmental Organization ) ขึ้นมา เพื่อจะได้เป็นแขนขาและมือเท้าให้กับโครงการบูรณะพระราชวังพญาไท และอุปโลกน์ให้ผมเป็นประธานดำเนินการ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ จะทำอะไรก็ได้ แล้วจะตัดงบจากโครงการฯ มาให้ ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ผมเรียนตรงๆ ว่า ผมยอมรับไม่ได้หรอก เพราะมีหลายคนอาจไม่ชอบหน้าผม พูดง่ายๆ คือ บารมีทุกๆ ด้านยังไม่ถึงขั้น น่าจะเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ซักคน จึงได้ปรึกษากับอาจารย์ สุปรีชา อีกครั้งว่า ควรที่จะเชิญ อาจารย์ ธำรงรัตน์ มาเป็นประธานองค์กรใหม่นี้ และท่านยินดีรับ ผมจึงร่างวัตถุประสงค์ แนวทางดำเนินการและเชิญผู้ร่วมงานที่เคยเห็นหน้ามาช่วยเป็นกรรมการเบื้องต้นจากหลายสถาบัน และประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๐ ในครั้งนั้นเราได้ชื่อว่าเป็น ชมรมคนรักวัง และภาษาอังกฤษใช้ว่า Palace Fan Club มีที่ปรึกษาและตัวแทนจากกรมแพทย์ทหารบก ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์พระมงกุฎเกล้า วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก นักเรียนแพทย์ นักเรียนพยาบาล บุคคลภายนอก และแม้กระทั่งตัวแทนจากพระราชวังอื่นของล้นเกล้าฯ คือ จากพระราชวังสนามจันทร์ เป็นต้น ผู้ทรงคุณวุฒิจากหอวชิราวุธานุสรณ์ โดยมีวัตถุประสงค์และดำเนินการดังมีรายละเอียดแล้ว เราได้ร่างระเบียบแก้ไขตามควร จนถึงบทบาทของสมาชิก ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่มีอุดมการณ์ หรือจิตใจที่จะร่วมกันจรรโลงมรดกของชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมที่จะเทิดทูนสถาบันสูงสุด ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยค่าสมาชิกเพียง ๖ บาท ทำไมไม่ ๖๖ หรือ ๓๖ , ๙๖ หรือ ๑๐๖ บาท เพื่อว่าจะมีเงินทำอะไรต่อมิอะไรบ้าง อย่างที่กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ว่า เราอยากได้มวลสมาชิกที่ได้ร่วมทำงาน แสดงความคิดเห็นต่อชมรมตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เลข ๖ นี้เป็นเลขอันมงคลสำหรับพวกเรา เพราะเราได้อาศัยร่มเกล้าพระบารมีปกป้อง ณ พระราชวังพญาไทในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ และเลข ๖ เป็นเลขบ่งถึง ค่าครู ค่าคาย หรือค่าหมอ โบราณเมื่อเราได้รับการตรวจรักษาจากท่าน หรือเป็นค่าไหว้ครู จะเป็น ๖ สลึง หรือ ๖ บาท ก็แล้วแต่ และสำคัญยิ่งเงิน ๖ บาท ไม่มากไม่ย้อย พอเป็นเครื่องแสดงน้ำใจว่า เราจะร่วมพลังความคิด สร้างสรรค์สิ่งเป็นประโยชน์ต่อสถาบัน จากการบอกกล่าวปากต่อปาก จากการเปิดพระราชวังพญาไทให้ชมในงานวันอนุรักษ์ฯ , งานฉลองพระชนม์มายุ ๖ รอบ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ เมื่อ ๒๒ – ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ , งานฉลองวันสถาปนาท่านเท้าหิรัญพนาสูร เมื่อ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๑ พร้อมกับการประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเจ้าหน้าที่ของเราได้ไปร่วมงานกับสถาบันต่างๆ จะเป็นที่โรงเรียนต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบัน ที่พระราชวังสนามจันทร์ ฯลฯ ได้สมาชิกมาร่วมมากมาย ขณะนี้กว่า ๓,๐๐๐ คนเศษ สมาชิกสมัครและรับไว้แล้วเป็นตลอดชีพ นอกเสียจากว่าจะลาออกเอง หรือ ออกตามธรรมชาติ สมาชิกชมรมคนรักวังมีสิทธิ์เสนอ แสดงความคิดเห็นในกิจการของชมรมได้โดยอิสระ เสนอจะให้ชมรมจัดกิจกรรมต่างๆ ได้ จะรวมกันเป็นหมู่คณะ ขอร้องให้ชมรมจัดมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์พาชมพระราชวังพญาไทได้โดยเสียค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง เป็นต้น สิทธิ์ของสมาชิก คือ สามารถ ประดับเข็มของชมรมที่ต้องจ่ายเงินเอง แค่อันละ ๖๐ บาท จะได้รับหนังสือจดหมายข่าวตามโอกาสที่ออก ประมาณปีละ ๓ เล่ม เสียค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ปีละ ๖๐ บาท ปีแรกเราสมารถหาผู้สนับสนุนได้ เลยแจกฟรีไป พอปีที่สอง เราอยากจะส่งให้สมาชิกที่สนใจและพร้อมที่จะจ่ายค่าจัดทำ ค่าพิมพ์ ค่าส่ง คงจะไม่แพงเกินไปนัก ยังมีสิทธิ์มาซื้อของที่ระลึก, หนังสือต่างๆ จากชมรมในราคาสมาชิกได้อีกด้วย
ที่สำคัญยิ่งที่กล่าวแล้วข้างต้น คือ การแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อติชม ในการดำเนินการในกิจกรรม เช่น ในด้านอนุรักษ์, สิ่งแวดล้อม, ศิลปวัฒนธรรม ในแง่มุมหลายๆ ด้าน จะเป็นพลังผลักดันให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสนใจและดำเนินการอย่างถูกต้อง ชอบธรรม ตามหลักวิชาการ สมกับพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ที่พระราชทานแก่ มล. ปิ่น มาลากุล เนื่องในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จึงขออัญเชิญมา ณ ที่นี้
“เรื่องโบราณสถานนั้น เป็นเกียรติของประเทศ อิฐเก่าแผ่นเดียวก็มีค่า ควรจะช่วยรักษาไว้ ถ้าเราขาดสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย”
นอกจากพลังกายพลังใจและพลังสติปัญญาที่มอบให้แก่โบราณสถาน พระราชวัง ตลอดจนทรัพยากร ของชาติอื่นๆ แล้ว หากท่านมีพลังปัจจัยที่พอจะเหลือกินเหลือใช้โดยไม่ลำบาก เดือดร้อน จะพอเจียดมาให้ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและมรดกของชาติเหล่านี้ จงกระทำเถิด เพื่อประโยชน์อันเป็นสมบัติให้กับอนุชนไทยไปตราบนานเท่านาน
พลตรี อำนาจ บาลี
๒๙ มี.ค. ๔๒
๑๖.๔๕ น.
|